"มองเหลือบ" ความลับของนักดูดาว


กาแลกซี่ เนบูล่าและดวงดาวอยู่ไกลจนเกินจินตนาการ แม้แต่สิ่งที่เร็วที่สุดในเอกภพอย่างแสงยังต้องเกินทางกันหลายปีไปจนถึงหลายล้านปี แสงที่เดินทางมาถึงดวงตาของเราจึงหรี่จางลงไปตามระยะทาง

กล้องดูดาวมีหน้าที่รวบรวมแสงที่เดินทางมาไกลแสนไกลให้มีความเข้มพอที่จะมองเห็นได้ แต่ก็ยังริบหรี่ทำให้จางมากอยู่ดี แต่ทำไมนักดูดาวที่มีประสบการณ์ถึงสามารถมองเห็นรายละเอียดได้ลึกและมากกว่าคนทั่วไป

นักดูดาวใช้วิธีการที่เรียกกันว่า "Averted Vision" หรือการ "มองเหลือบ" วิธีการมองแบบนี้จะไม่ดูไปที่วัตถุโดยตรง แต่จะมองไปจุดอื่นเพื่อให้เห็นภาพจาก "หางตา" การมองแบบนี้จะช่วยให้มองเห็นแสงจางและริบหรี่ได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องอาศัยการฝึกฝนหากต้องการจับภาพและรายละเอียดให้ได้นานขึ้น

แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ลองมาดูโครงสร้างภายในดวงตาของเรา เจาะจงลงไปในส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อไวแสงในลูกตาที่เรียกว่า "จอประสาทตา" หรือ "เรติน่า"​


โครงสร้างลูกตา ภาพจากวิกิ

เซลล์ไวแสงที่เรติน่าจะรับภาพและส่งสัญญาณผ่านระบบประสาทให้สมองแปลความหมาย เซลล์ไวแสงที่เรติน่าจะมีอยู่สองชนิดหลักเรียกว่า "เซลล์รูปกรวย" (Cone Cell) ทำหน้าที่รับภาพสี และ "เซลล์รูปแท่ง" (Rod Cell) ทำหน้าที่รับภาพขาวดำ


กราฟแสดงความหาแน่นของเซลล์รูปกรวยและเซลล์รูปแท่ง
ในเรติน่าเซลล์รูปกรวยที่รับภาพสีจะมีอยู่หนาแน่นในบริเวณใจกลางจอประสาทตา ในขณะที่เซลล์รูปแท่งที่มีมากกว่าจะกระจายตัวอยู่ด้านนอก การที่เรามีเซลล์รูปกรวยน้อยนี่เองทำให้เรามองเห็นสีในที่มืดได้ไม่ดีนัก สามารถทดลองได้โดยหยิบหนังสือมาอ่านในที่ที่สภาพแสงน้อย เราจะมองเห็นสีน้อยลงภาพที่เห็นจะออกไปทางขาวดำมากกว่า
การที่เซลล์รูปแท่งมีหนาแน่นบริเวณขอบเรติน่าทำให้เราต้องเหลือบตา เพื่อให้แสงตกไปที่เซลล์รูปแท่งมากที่สุด ลองทดสอบกับดูกระจุกดาวลูกไก่ด้วยตาเปล่าก่อนได้จะเห็นความแตกต่าง

นอกจากมองเหลือบแล้วการจะมองเห็นได้ดีในที่มืดเราต้องปกป้องเรติน่าจากแสงสว่างทุกชนิด หากจำเป็นก็จะใช้แสงสว่างสีแดง เพราะแสงสีแดงรบกวนเซลล์รูปแท่งน้อย จอประสาทตาจะใช้เวลาอย่างน้อย 15 นาทีในการปรับให้มองเห็นได้ดีในที่มืด ดังนั้นในระหว่างการดูดาวเราต้องหลีกเลี่ยงแสงสีขาวทุกชนิดครับ





Comments

Popular posts from this blog

กลุ่มดาวคนเลี้ยงสัตว์ : Boötes

Lyra, The Harp

รายชื่อและคำอ่านกลุ่มดาวภาษาอังกฤษและภาษาไทย