Serpent and Ophiuchus
![]() |
กลุ่มดาวเซอเพนส์และออฟอียูคัส, Urania's Mirror 1825 |
บนท้องฟ้าจะมีกลุ่มดาวที่มีลักษณะยาวคล้ายเชือกอยู่ 4 กลุ่ม เราพูดถึงดราโกหรือกลุ่มดาวมังกรไปแล้ว ครั้งนี้จะเป็นกลุ่มดาวที่ยาวคล้ายเชือกอีกกลุ่มที่อยู่ในรายชื่อดาว 48 กลุ่มของพโตเลมีเช่นกันซึ่งก็คือกลุ่มดาว “งู” หรือ “เซอเพนส์”
ส่วนกลุ่มดาว “คนแบกงู” หรือ “ออฟอียูคัส” จะไม่กล่าวถึงก็ไม่ได้เพราะเกี่ยวพันกับเซอเพนส์แบบแยกไม่ออก ลองจินตนาการภาพชายคนหนึ่ง(ออฟอียูคัส) ยืนเหยียดแขนลงพื้น ในมือสองข้างกำลังกำลำตัวงูตัวใหญ่ (เซอเพนส์) หัวและหางของงูชูขึ้นเสมอกับศรีษะของเขา นั่นคือภาพของกลุ่มดาวเซอเพนส์และออฟอียูคัสที่ปรากฎบนท้องฟ้า
![]() |
กลุ่มดาวออฟอียูคัสและเซอเพนส์ |
เดิมเซอเพนส์เป็นกลุ่มดาวที่ยาวต่อเนื่องกันเป็นตัวงู แต่เนื่องจากมีพื้นที่มีส่วนที่ซ้อนทับกับออฟอียูคัส ทางสหพันธ์ดาราศาสตร์สากลจึงได้แบ่งพื้นที่สองกลุ่มดาวนี้ออกเป็น 3 ส่วนเพื่อความชัดเจน เริ่มจากฝั่ง “หัวงู” มาถึงมือข้างหนึ่งของออฟอียูคัสคือ “เซอเพนส์ คาปุส” “Serpens Caput”
ถัดมามี “คนแบกงู” และช่วงกลางลำตัวของงูเรียกว่า “ออฟอียูคัส” “Ophiuchus” จากนั้นก็เป็นฝั่งที่เป็น “หางงู” เรียกว่า “เซอเพนส์ เคาด้า” “Serpens Cauda” เฉพาะส่วนหัวงูและหางงูจะเรียกรวมว่า “เซอเพนส์” ส่วนชื่อดาวตามระบบของเบเยอร์ใน “เซอเพนส์” ก็เรียงตามตัวอักษรกรีกเป็นชุดเดียวกัน ตัวอย่างเช่นดาวที่ชื่อ แอลฟ่า เซอเพนติสอยู่ในพื้นที่ส่วนหัวงู และจะไม่มีในส่วนหางงู
เพราะเหตุนี้กลุ่มดาวงูหรือเซอเพนส์จึงเป็นกลุ่มดาวพิเศษกลุ่มเดียวบนท้องฟ้าที่ถูกแบ่งเป็นสองส่วนที่แยกห่างกัน
![]() |
รูปปั้นแอสคลิปิอัส มีไม้เท้าและงูข้างกาย Cr: Archaeological Museum of Epidaurus |
ตามตำนานกรีก แอสคลีปิอัสบุตรชายของเทพอพอลโล่กับหญิงสาวชื่อโคโลนิส ได้รับการเลี้ยงดูและสั่งสอนจากเซ็นทอร์ชื่อคีรอนผู้เป็นอาจารย์แห่งเทพทั้งปวง แอสคลีปิอัสเป็นเอตทัคคะทางการแพทย์ ว่ากันว่าเก่งถึงขั้นที่ทำให้คนตายหรือใกล้จะตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้
ความเก่งกาจในการรักษาของแอสคลีปิอัสถึงกับทำให้เทพฮาเดสไปฟ้องต่อเทพเซอุสว่าแอสคลีปิอัสทำให้ไม่มีวิญญาณมาที่ยมโลก เซอุสจึงได้ใช้อัสนีบาตทำให้แอสคลีปิอัสถึงแก่ความตาย ต่อมาภายหลังเซอุสให้เกียรตินำร่างของแอสคลีปิอัสไปประดับไว้บนท้องฟ้าเป็นกลุ่มดาวออฟอียูคัสนั่นเอง
![]() |
โลโก้ของ WHO มีไม้เท้าแอสคลีปิอัสตรงกลาง |
แอสคลิปิอัสกับงูเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอ เห็นได้จากงานศิลปะที่มีอยู่ทั่วไปในยุโรป หากเราเห็นรูปปั้นหรือรูปวาดชายมีเคราถือไม้เท้าที่มีงูพันรอบนั่นคือแอสคลีปิอัส สัณนิฐานว่ายุคนั้นงูและพิษของงูได้รับการยอมรับว่าเป็นยารักษาโรคแบบหนึ่ง และเป็นเครื่องหมายของการฟื้นคืน การเกิดใหม่ (จากโรค) เหมือนการลอกคราบของงู
ในปัจจุบันงูและไม้เท้าของแอสคลีปิอัสกลายเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยงานทางการแพทย์และสาธารณะสุขทั่วโลก กลุ่มดาวเซอเพนส์กับงูที่พันบนไม้เท้าในโลโก้ของ WHO หรือของกระทรวงสาธารณะสุขของไทยก็เป็นงูตัวเดียวกันนี่เอง
เซอเพนส์และออฟอียูคัสเป็นกลุ่มดาวที่กินบริเวณกว้างบนเส้นศูนย์ฟ้า ถ้าวัดระยะทางจากดวงที่เป็นหัวคือ ι Serpentis ไปถึงดาวปลายหาง θ Serpentis ก็เกือบ 50 องศา พื้นที่ของกลุ่มดาวนี้จะอยู่ทางทิศเหนือของกลุ่มดาวแมงป่อง (อาจจะมองว่าออฟอียูคัสเหยียบแมงป่องไว้ก็ได้) อีกวิธีที่ใช้มองหาได้ง่ายคือ เซอเพนส์และออฟอียูคัสจะเป็นพื้นที่ตรงกลางระหว่างดาวแอนทาเรส อาร์คตูรุส และอัลแตร์
สำหรับผมเมื่อกำหนดบริเวณได้แล้ว จะมองหาหัวของงูก่อนเป็นดาวสามดวงเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมใกล้ดาวอาร์คตูรุส จากนั้นก็จะมองหาเส้นโค้งลงเป็นลำตัวงูมาเรื่อยๆไปทางทิศตะวันออก ไม่น่ายากนักจากท้องฟ้าที่ห่างจากตัวเมืองสักหน่อย
พื้นที่ของกลุ่มดาวงูกับคนแบกงูอยู่ทางทิศตะวันตกของใจกลางทางช้างเผือก มีแมสซายเออร์ออบเจคอยู่ถึง 9 ตัว เกือบทั้งหมดเป็นกระจุกดาวทรงกลมหรือ Globular Cluster มีเพียงตัวเดียวที่เป็นกระจุกดาวเปิดและเนบูล่า
![]() |
แผนที่กลุ่มดาวออฟอียูคัสและคนแบกงู |
เตต้าเซอเพนติส (θ Serpentis) หรือ “อัลย่า” “Alya” ดาวดวงปลายสุดของหางงู เป็นดาวคู่ที่มีคำบรรยายเยินยอมากมายเช่น “Imperial pair in regal setting” “a marvelous double star” “an attractive pale yellow pair”
![]() |
อัลย่า |
รายละเอียดของอัลย่าดู ที่นี่
แมสซายเออร์ 16 หรือที่รู้จักกันในชื่อเนบูล่านกอินทรี อยู่ในบริเวณรอยต่อของกลุ่มดาวเซอเพนส์เคาด้า โล่ และคนยิงธนู เป็นบริเวณที่มีเนบูล่าขนาดใหญ่ ภายในมีกลุ่มกาซและฝุ่น รวมถึงดาวที่เกิดใหม่จำนวนมาก เมื่อดูด้วยกล้องดูดาวขนาดเล็กเราจะมองเห็นแต่ตัวกระจุกดาว NGC6611 ตัวเนบูล่าจางจนยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่าต้องอาศัยฟิลเตอร์ช่วย
แมสซายเออร์ 5 ในเซอเพนส์คาปุส เป็นกระจุกดาวทรงกลมที่สว่างเป็นอันดับที่ 5 บนท้องฟ้า สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าถ้าฟ้าดีพอ ถ้าอุปกรณ์ต่างชนิดต่างขนาดก็จะได้ความประทับใจคนละแบบ
Robert Burnham บรรยายภาพ M5 ที่เห็นจากกล้องดูดาวขนาด 40 นิ้ว ไว้ในหนังสือ Celestial Handbook ว่า “if the fireflies of thousand summer nights had been gathered here, frozen forever in time and suspend among the star” มันคงจะสวย น่าประทับใจจริงๆ
แมสซายเออร์ออบเจคอีก 7 ตัวที่เหลืออยู่ในกลุ่มดาวคนแบกงูหรือออฟอียูคัส ทั้งหมดเป็นกระจุกดาวทรงกลมมีความสว่างตั้งแต่ 7-9 แมกนิจูดมี เอ็ม9 เอ็ม10 เอ็ม12 เอ็ม14 เอ็ม19 เอ็ม62 และเอ็ม 107
IC4665 เป็นกระจุกดาวเปิดขนาดใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อของแมสซายเออร์และ NGC น่าจะเป็นเพราะมีขนาดใหญ่จนดูหลวมเมื่อดูด้วยกล้องดูดาว กระจุกดาวตัวนี้เหมาะมากสำหรับกล้องสองตา
พื้นที่รอบดาวโร ออฟอียูชิ (ρ Ophiuchi) บริเวณรอยต่อกับกลุ่มดาวแมงป่อง เต็มไปด้วยเนบูล่าต่างชนิด เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีสันเหมือนภาพวาดแอบสแตรกของศิลปินหากบันทึกภาพบริเวณนี้ด้วยภาพถ่าย แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาของเราเอง
กลุ่มดาวกลุ่มนี้เหมาะกับการสังเกตตอนที่บ้านเราเป็นหน้าฝนพอดี ทำให้ยังไม่ได้สังเกตอย่างจริงจัง มีความหวังว่าปีหน้าจะได้มีโอกาสสำรวจท้องฟ้าบริเวณนี้ให้ครบถ้วนครับ
![]() |
Bull of Poniatowski ตรงหัวไหล่ของออฟอียูคัส Urania's Mirror 1825 |
จุดสุดท้ายที่น่าสนใจคือใกล้หัวไหล่ของคนแบกงูฝั่งทางหางงู จะมองเห็นดาวเรียงเป็นรูปตัวอักษร V เหมือนกลุ่มดาวราศีพฤษภ ดาวเรียงชุดนี้รู้จักกันในชื่อ “Bull of Poniatowski” หรือ “Taurus Poniatowski” กลุ่มดาวกลุ่มนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์โปแลนด์เมื่อปี 1777 ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว
Comments
Post a Comment